กลยุทธ์โซเชียลมีเดีย ในวันที่ Social Media เปลี่ยนไปจากเดิม
ถึงเวลาที่แบรนด์ต้องเปลี่ยน Social Media Strategy ในวันที่ Social Media เปลี่ยนไป
ในช่วงปีที่ผ่านมา มีลูกค้าหลายแบรนด์ถามว่า เราเป็นเจ้าของแบรนด์ยังต้องทำ Social Community ที่โพสต์ content แบบ organic โดยไม่ต้องซื้อโฆษณาอยู่มั้ย?
ออยไม่แปลใจที่เพื่อน หรือลูกค้าจากหลายแบรนด์ถามคำถามนี้ เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพราะ Organic Reach ที่แต่ละ Social Platform ให้นั้นน้อยมากกกก (เอา ก. ไก่ ไปล้านตัว) โดยเฉพาะช่องทางอย่าง Facebook ที่เหล่านักการตลาดคุ้นเคยนั้น ก็แทบจะไม่มีการมองเห็นแล้วเลย Organic ตอนนี้ก็จะมี Platform อย่าง TikTok ที่การทำ Content ก็เรียกว่า ต้องใช้ความสามารถ อีกแบบหนึ่งที่ต้องทำ Short VDO Content เล่าให้น่าสนใจ รวดเร็ว และกระชับ จนหลายแบรนด์ไม่แน่ใจว่า ยังต้องลงทุนกับการทำ Content บน Social Media หรือไม่?
โดยเฉพาะแบรนด์ที่ไม่ได้มีทีมงานทำ Content ในบริษัทของตนเอง ต้องจ้างเอเจนซี่ทำให้ ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงต่อเดือนในการทำเรื่องนี้ และมากไปกว่านั้น อย่างที่เรารู้กันว่า เราต้องแยกทำ Content ที่มีรูปแบบแตกต่างกันในแต่ละ Social Platform ด้วย หากต้องการสื่อสารว่ามี โปรโมชั่นใหม่ 1 ชิ้น ถ้าทั้งเข้าทุก Platform ทั้ง Facebook, Instagram, X (Twitter), YouTube, LINE ละ TikTok ก็อาจจะต้องคิด Content มากถึง 6 Content ที่มีการวิธีการนำเสนอที่แตกต่างกัน เพราะ Content ที่เหมาะในแต่ละ Platform ก็ต่างกัน แค่คิด ก็เหนื่อยมากแล้วค่ะ ทำจริงเหนื่อยมากกว่าอี๊กกก 555
ดังนั้นไม่ง่ายเลยที่แบรนด์จะทำ Social Media ให้ดี!!!
แต่เราอาจจะต้องกลับมาคุยกันก่อนว่า ทำ Social Media ให้ดีสำหรับธุรกิจ หรือแบรนด์ คืออะไร?
ในมุมมองของออยการทำ Social Media ให้ดีในเชิงธุรกิจ คือการมี Social Media ที่ตอบโจทย์ธุรกิจ โดยมีการวางกลยุทธ์ของแต่ละ Social Media ให้เหมาะกับโจทย์ทางธุรกิจ โดยเฉพาะทางด้านการสื่อสาร (ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของ Social Media) ออกแบบให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในแต่ละ Social Platform และสุดท้ายคือการทำ Content ให้เหมาะกับ Social Platform นั้นๆ
ดังนั้นเนื้อหาของเราจะครอบคลุมหัวข้อดังต่อไปนี้
- Social Media Trend ที่เปลี่ยนไปในปี 2024
- อะไรคือ Social Media Strategy
- สรุป Social Media Roles และ ฐานลูกค้าที่สามารถเข้าถึงได้
- กลยุทธ์ Social Media ที่แบรนด์ต้องเปลี่ยนในปัจจุบัน
Social Media Trend ที่เปลี่ยนไปในปี 2024
อย่างแรกที่ออยจากจะเล่าให้ฟัง ถึง Trend Social Media ที่เปลี่ยนไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากประสบการณ์ทำงาน

- Trend ที่ 1 คือ เปลี่ยนจากการทำ 1 Content แล้วลงทุก Social Platform ไปเป็นการทำ Content ที่จะสื่อสารให้มีวิธีนำเสนอแตกต่างกัน ตามจริตของแต่ละ Social Platform
- Trend ที่ 2 คือ การเปลี่ยนจากรูปแบบการนำเสนอที่เมื่อก่อนเน้นไปที่ Text และ รูปภาพนิ่ง หรือ อัลบั้ม เป็น วิดีโอ Content โดยเฉพาะ Short วิดีโอ ที่ปัจจุบันเป็นการสื่อหลักที่คนในปัจจุบันนิยมเสพ และ Social Platform ก็ชงให้ Short VDO Content โดยเฉพาะแนวตั้ง ได้รับพื้นที่สื่อมากขึ้นไปด้วย
- Trend ที่ 3 คือ การเปลี่ยนจากการเป็น Social Community เป็น Content Creator ซึ่งคือการเปลี่ยนหลักการคิดของ Social Media จากเมื่อก่อน Platform อย่าง Facebook จะเน้นไปที่การสร้างปฎิสัมพันธ์ ระหว่างผู้คน เปลี่ยนมาเป็น Platform ที่เป็นช่องทางการในการเสพ content หรือเนื้อหา ที่แย่งเวลาของผู้ใช้อย่างเราๆ ให้อยู่บน Platform ของเค้าให้นานขึ้น ดังนั้น จึงมุ่งเน้นให้พื้นที่ Organic Reach บนการให้กับ Content Creator ที่มีเนื้อหาน่าดึงดูดให้คนอ่าน คนชม ซึ่งเราจะพึ่งเห็นข่าวในปลายเดือนเมษายนปีนี้ ว่า Meta เปิดโปรแกรม Bonus พิเศษ ให้กับ Facebook Page ที่จะมีการแบ่งรายได้ให้กับคนทำเพจ โดยวัดจากยอด like, comment, share, reach ของเพจแปลว่า Meta เริ่มต้องการดึงดูด Content Creator ให้สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจบน Facebook Platform มากขึ้น ที่มีการตอบแทนให้กับบรรดา Content Creator อย่าง Platform อย่าง Youtube และ TikTok ที่มีการให้ค่าตอบแทนสำหรับ Content Creator ที่ทำ Content ดีๆ ออกมาให้กับ Platform ของเค้า
- Trend ที่ 4 คือ การเปลี่ยนจาก Free Organic Media ให้เป็น Paid Media ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญมาก ที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้แบรนด์ ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายกับแบรนด์ไปในตัว นอกจากนี้ การซื้อโฆษณาในปัจจุบัน ก็มีประสิทธิภทพลดลงจากเดิม ที่ไม่สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง และคัดเลือกคนที่สนใจอย่างมีประสิทธิภาพได้เท่าเดิม ต้องลงเงินซื้อโฆษณาที่มากขึ้น เพื่อเก็บ audience ให้กับแบรนด์ของตัวเอง ดังนั้นการทำกลยุทธ์เรื่องของการทำ Content ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการสื่อสารของแบรนด์ และการทำ Content บน Social Media ต้องช่วยแบรนด์ คัดสรรคนที่ใช่มาให้กับแบรนด์ เพื่อทำการสื่อสารเมื่อเราต้องการขายสินค้า และบริการด้วย สรุปก็คือ เราถึงจุดที่ Social Platform ต้องการ Monetization (จุดทำเงินของแต่ละ Platform) ดังนั้น ฟรีมีเดีย ก็จะไม่มีเหมือนเช่นแต่ก่อนแล้ว (ยกเว้น TikTok ที่พึ่งเข้ามาและยังไม่ถึงจุดนั้นค่ะ 555)
อะไรคือ Social Media Strategy
การทำ Social Media Strategy คือการวากลยุทธ์ที่มี 3 องค์ประกอบที่สัมพันธ์กัน
- Set-up Business Objective การตั้งวัตถุประสงค์ในเชิงธุรกิจของ Social Media
- Define Key Target Audience การหากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจที่อยู่ใน Social Platform นั้น
- Select Social Platform การเลือกใช้ Social Platform ที่เหมาะกับโจทย์ทางธุรกิจ และกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเข้าถึง

- Business Objective: การกำหนดวัตถุประสงค์ของการใช้ Social Media ในแต่ละ Platform ว่า ตอบโจทย์ธุรกิจอย่างไร
จากประสบการณ์ทำงานของออย วัตถุประสงค์ทางการสื่อสารโซเชียลมีเดียของแบรนด์ ส่วนมากจะเป็นเรื่องการสื่อสาร (Communication Objective) ซึ่งออยจะแบ่งออกเป็น 6 แบบ (ซึ่งการแบ่งแบบนี้จะมองทั้งในมุมการซื้อโฆษณา และการทำ Community ที่มีโพสต์แบบไม่ได้ซื้อโฆษณาด้วยนะคะ)
- Awareness: เป็นวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ในวงกว้าง รวมถึงความสามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายด้วยการซื้อโฆษณา และการกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้
- Consideration: เป็นวัตถุประสงค์สร้างการนำแบรนด์ของเราเข้าไปอยู่ในการพิจารณา หรือ short list ก่อนที่จะเลือกสินค้า
- Preference: เป็นวัตถุประสงค์ที่จะทำให้แบรนด์เราเข้าไปอยู่ในใจลูกค้า ทำให้ลูกค้ารักชอบแบรนด์เรามากกว่าแบรนด์อื่นๆ
- Purchase: เป็นวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นการขาย มีสินค้าให้เลือกซื้อใน Social Media นั้นได้เลย
- Loyalty: เป็นวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำและมีความภักดี ต่อแบรนด์
- Advocacy: เป็นวัตถุประสงค์ที่เน้นให้ลูกค้าบอกต่อ และ ชักชวนเพื่อนมาพูดถึงแบรนด์เรา สินค้าและบริการของเรา
- Key Target Audience: เราใช้ Social Media Platform นี้เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มไหน ลูกค้าเหล่านั้น เป็นฐานลูกค้าปัจจุบันของแบรนด์เรา หรือใช้ Social Media Platform นั้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่เราอยากจะเข้าถึง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ การคิดแบบนี้จะทำให้เราสามารถจัดลำดับความสำคัญของการทำ Social Media ในแต่ละ Platform ทำให้เรารนำเสนอสินค้า และบริการให้ตรงกับกลุมเป้าหมายที่มีความชอบแตกต่างกัน และมีจริตในการเสพ Social Media ที่แตกต่างกันในแต่ละ Platform ด้วย
- Select Social Media Platform: การเลือกโซเชียลมีเดีย ที่เหมาะกับโจทย์ทางธุรกิจ และกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ จากประสบการณ์ทำงานของออย ถ้าเรามีทรัพยากรจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเงิน คน เวลา เราก็ควรจะ Focus กลยุทธ์ไปในจุดที่จะได้ประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจของเรา ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องทำทุก Social Media เราควรเลือกทำ Social Media ที่จะตอบโจทย์ ทางธุรกิจ และกลุ่มเป้าหมาย หลักที่แบรนด์ต้องการเข้าถึง แล้วมาเลือก Social Platform ที่เหมาะสม
ดังนั้นการทำ Social Media Strategy คือการเลือก 3 ปัจจัยนี้ให้สัมพันธ์กัน และต้องตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของแบรนด์ด้วยนะคะ ซึ่งแต่ละ Social Media ก็มีความสามารถในการตอบวัตถุประสงค์ทางการสื่อสารที่แตกต่างกัน ด้วยธรรมชาติของแต่ละ Platform และ feature ที่ทาง Social Platform ให้มา ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ควรลืมว่ากลุ่มผู้ใช้ในแต่ละ Social Media ก็แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือก Social Media ก็ควรจะพิจารณาด้วยว่า เราใช้ Platform นั้นเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าแบบไหนด้วย
สรุป Social Media Roles และ ฐานลูกค้าที่สามารถเข้าถึงได้
ออยขอสรุป Social Media Roles ที่แตกต่างกัน ความสามารถในการตอบ Communication Objective ที่แตกต่างกัน รวมถึง ฐานลูกค้าไว้ในภาพด้านล่างนี้ค่ะ

เราจะเห็นได้ว่า แต่ละ Social Platform ก็มีฐานผู้ใช้ที่แตกต่างกัน มีความสามารถในการตอบโจทย์ทาการสื่อสารที่แตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงการสื่อสารทั้งในแบบการซื้อโฆษณา (เพราะ ความสามารถของเครื่องมือโฆษณาในแต่ละ Social Platform ต่างกัน) และแบบ Organic Content ที่มี algorithm ให้ความสำคัญในการแสดงให้คนเห็น Content ก็ต่างกัน
ซึ่งออยสรุปแก่นของการทำ Social Media ของแต่ละ Social Platform ไว้ด้านบน
- Facebook: Daily Engagement แบรนด์สามารถทำ Content เพื่อพูดคุยกับคนใน Facebook เพื่อการคุยเรื่องทั่วไป เน้นการพูดคุย (มี comment) สรรสาระ ในชีวิตประจำวัน และถ้าจะขายของก็ต้องมีการซื้อโฆษณาเลย เนื่องจากระบบ Organic Reach จะลด Reach ลงถ้ามีการขายของจากการตรวจจำคำในโพสต์ ทั้ง text, image, voice
- Instagram: Inspire Lifestyle for Urban Users เหมาะสำหรับแบรนด์ที่นำเสนอ Lifestyle โดยเฉพาะฐานผู้ใช้เมือง ผู้หญิง เพื่อให้เห็น Lifestyle ในการใช้ชีวิต ทั้งกิน เที่ยว ดื่ม ทำสวย สัตว์เลี้ยง
- X (Twitter): Social Trend and Talks เป็น Social Platform ที่สนใจเรื่องที่อยู่ในกระแสสังคม สร้างตัวตนที่ไม่เปิดเผย เพื่อแสดงความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมา ซึ่งชาวทวิภพเชื่อว่า สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จากการสร้าง Social Trend & Talk เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ตามกระแส มีจุดยืนทางสังคมที่ชัดเจน เลือกข้าง เลือกด้อม โดยเฉพาะเมื่อมี Presenter ที่เป็นไอดอลทั้งไทย และเกาหลี
- YouTube: Entertainment and Advertising สำหรับออยแล้ว แบรนด์ส่วนมากมอง YouTube เป็น Platform สำหรับการทำโฆษณา และใช้ Influencer หรือ YouTuber ช่วยสร้าง Branded Content เพื่อนำเสนอสินค้า และบริการแบบ Tie-in เข้าไปในรายการ Entertainment ตามช่องต่างๆ ที่มีคนติดตาม ซึ่งแบรนด์ ควรมองว่า สามารถเป็น Digital Catalog รูปแบบหนึ่งที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการ รวมถึงสอนวิธีการใช้สินค้า หรือเป็น Official Channel ที่เป็นห้องสมุดความรู้ในรูปแบบวิดิโอได้อีกด้วย
- LINE: Chat & Get Benefits or Service from Brand ไลน์เป็น Social Platform ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้อย่างครอบคลุม และมีความสามารถในการทำ CRM หรือ Loyalty กับลูกค้าเก่าของแบรนด์ที่เข้ามา add friend และเริ่มเก็บดาต้าลูกค้า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจาก Social Platform อื่นๆ และควรนำมาใช้ประโยชน์ เพราะลูกค้าที่เข้ามา add friend ในไลน์ มักจะเป็นลูกค้าที่มีความต้องการพูดคุย ได้รับสิทธิพิเศษ หรือควาช่วยเหลือจากแบรนด์ ซึ่งถือว่าเป็นฐานลูกค้าสำคัญที่ควรใส่ใจ
- TikTok: Talented Show with Short VDO โซเชียลที่มาแรงที่สุดเกิดขึ้นในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็น Social Platform ที่เชื่อว่าทุกคนสามารถเป็น Broadcaster หรือเป็น Influencer ได้ โดยระบบจะมี algorithm ที่หาคนดูวิดิโอมาให้ ดังนั้นแบรนด์สามารถได้ Organic Reach จากการทำ Content VDO ที่น่าสนใจจากการทำ Content Short Vertical VDO ได้ แต่การสร้างฐานแฟนต้องมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และสั้นกระชับ สนุก ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะบุคคลมากๆ ในการทำ Content รวมถึงการขายของผ่าน TikTok Shop ที่สร้างประสบการณ์ Social Shopping ทั้งในแบบที่เราจะขายเอง หรือแบบ Affiliate ที่มี TikToker มาช่วยขาย และให้ส่วนแบ่งการขายเค้าก็ได้ แต่ต้องยอมรับว่า TikTok เป็น Social Platform ที่เน้นเรื่องการทำ Short VDO Content ที่ต้องทำน่าสนใจ ถึงจะได้ผล ไม่ว่าจะเป็นแบบ paid หรือ organic ก็ตาม
กลยุทธ์ Social Media ที่แบรนด์ต้องเปลี่ยนในปัจจุบัน
หากแบรนด์ต้องการเลือกทำ Social Media และจัดลำดับความสำคัญของ Social Media ที่จะ Focus ก่อนก็ลองมาเลือกดูนะคะว่า Social Media Platform ไหนสามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจ ในเชิงวัตถุประสงค์การสื่อสาร และกลุ่มเป้าหมายที่แบบรนด์อยากจะไปก่อนนะคะ
และจากที่เราคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงและ Trend ของ Social Media ที่เปลี่ยนจากการสร้างปฎิสัมพันธ์ของผู้คนมาเป็นพื้นที่สื่อ โดยเปิให้ผู้ใช้สร้าง Content ที่น่าสนใจมาดึงดูดให้คนใช้เวลาดู Content บน Platform นั้นๆ นานขึ้น
ดังนั้นในมุมมองของออย การทำ Social Media ของแบรนด์จะแบ่งเป็นกลยุทธ์ 2 แบบค่ะ
- แบบแรกคือ การที่คิดว่าช่องทาง Social Media ของเราเป็น Content Creator ที่สร้างเนื้อหาที่น่าติดตาม มีการทำ content และการมีปฎิสัมพันธ์กับลูกค้าที่เปรียบเสมือนการพูดคุยกับเหล่าแฟน หรือสาวกของแบรนด์เราอย่างเหนียวแน่น และมี Content ที่ดี สม่ำเสมอ
- แบบที่สองคือ การคิดว่าช่องทาง Social Media ของเราเป็นเหมือนช่อง Owned Channel เสมือนช่องทางเช่น Website ที่เรามีไว้อัพเดทข่าวสาร สินค้า บริการ และเป็นช่องทางให้ความช่วยเหลือลูกค้า ที่สามารถให้ข้อมูลกับลูกค้า แต่ไม่ได้ถึงขึ้นต้องสร้างปฎิสัมพันธ์ใดๆ
ทำไมถึงต้องแยกเป็น 2 แบบนี้ เพราะออยมองว่าการทำงานทั้ง 2 แบบ มีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน และการลงทุน ลงแรง ลงเวลาในการทำงานที่แตกต่างกัน รวมทั้งความคาดหวัง และระยะเวลาของผลลัพธ์ ที่แตกต่างกัน
ความแตกต่างของ Social Community กับการเป็น Content Creator
ออยสรุปมาให้เห็นความแตกต่าง ของการทำ Social Media แบบเดิมที่เป็น Social Community กับการเป็น Content Creator ดังต่อไปนี้

- Content Creator เน้นการทำ Content ที่มีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งรูปภาพ วิดีโอยาว วิดีโอสั้น และสามารถทำ Content ที่เป็นกระแสที่ Platform ต้องการ เช่น วิดีโอสั้นแบบแนวตั้งที่กำลังมาแรงในช่วงปี 2023 – 2024 นี้
- Content Creator เน้นการทำ Content ในรูปแบบที่เป็นลักษณะเฉพาะของการนำเสนอในสไตล์ที่แตกต่างกัน เฉพาะบุคคล เนื่องจากการทำ Content ใน Social Media ปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูง และปัจจุบันแบรนด์เอง ก็ต้องแข่งขันการทำ Content กับ Content Creator, Influencers, หรือ Publishers เพื่อแย่งพื้นที่สื่อ ดังนั้น รูปแบบการนำเสนอ ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ทำให้คนติดตาม เช่น เราไม่ได้ทำ Content นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวอีกต่อไปแล้ว เพราะมี Content Creator มากมายทำแบบนี้เช่นกัน ออยเชื่อว่าใน YouTube อย่างเดียวอาจจะมีมากกว่า 100 ช่องที่ทำ Content ท่องเที่ยวโตเกียว แต่การทำให้คนสนใจติดตาม เป็นเรื่องของการสร้างเอกลักษณ์ ในการนำเสนอที่ทำให้คนติดตาม I Roam Alone ต่างจากช่อง Go Went Go และต่างจากช่องไกลบ้าน
- Content Creator เน้นการสร้าง Content ที่มีคุณภาพ นำเสนอแตกต่างกัน และที่เก่ง ก็จะสามารถนำเสนอให้หลากหลาย เหมาะสมแต่ละ Social Platform นอกจากนี้ Content ในแต่ละช่องทาง ก็นำเสนอให้ตรงกับจริตของผู้ใช้ในแต่ละ Social Media และทำ Content เหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องอีกด้วย เพื่อสร้างฐานแฟนที่เหนียวแน่น
- Content Creator เน้นการสร้างวิธีการ และหารูปแบบในการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ ตอกย้ำ Brand Character ของตัวเอง แต่ยังต้องทำ Content ตามความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย หรือฐานแฟน ที่ต้อง Balance ทั้งสองเรื่องนี้ให้ลงตัว ไม่ใช่แต่การทำ Content ตามกระแส หรือหัวข้อทั่วไป หรือลอกเลียนแบบคนอื่นมา เพียงแต่ให้เกิดกระแสนั้น
แบบแรกคือ การที่คิดว่าช่องทาง Social Media ของเราเป็น Content Creator
การเลือกเป็น Content Creator นั้นต้องใช้พลังงานที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเวลา ทีมงาน ซึ่งอาจจะรวมถึงการลงทุนด้านงบประมาณที่สูงกว่า เพราะต้องทำ Content ที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เรียกว่าอย่างน้อยก็ต้องทุกสัปดาห์ หรือทุกวันเพื่อให้คนติดตาม ซึ่งมีความเสี่ยงว่า จะประสบความสำเร็จหรือไม่ และอาจจะใช้เวลาที่นานกว่าอีกรูปแบบในการเห็นผลทางธุรกิจ (อาจเป็นหลักปี) แต่เมื่อได้ฐานแฟนมาแล้ว ก็สามารถขายของ มีสาวกที่ติดตาม พร้อมสนับสนุน ซึ่งก็เป็นความเสี่ยงที่แบรนด์ต้องคำนวนความเสี่ยงในการลงทุนที่อาจจะไม่ใช่แค่ตัวเงินเท่านั้น ทั้งเรื่องของเวลา บุคคลากร และรวมถึง ฐานแฟน และ การสื่อสาร สรุปแล้วเป็นไปตามเป้าหมายทางธุรกิจ หรือไม่
แบบที่สองคือ การคิดว่าช่องทาง Social Media ของเราเป็นเหมือนช่อง Owned Channel
กลยุทธ์แบบนี้จะมุ่งเน้นที่การสร้าง Content เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจเป็นหลัก และมองว่าการใช้ Social Media ก็เสมือนหนึ่งใน Owned Channel ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ สินค้า บริการ ที่เป็นพื้นฐานของการทำช่องทาง มากกว่าการสร้างฐานแฟน และการทำ Content เพื่อให้คนติดตาม รวมถึงมี Mindset ว่าสามารถซื้อโฆษณาเพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการทำธุรกิจด้วย
จากประสบการณ์ออยนะคะ วัตถุประสงค์ที่ใช้ในการทำ Social Media ที่เป็นแบบ Organic Content แบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกันค่ะ
- Update News: เน้นในการใช้ช่องทาง Social Media เพื่ออัพเดทข่าวสาร การเปิดตัวสินค้า โปรโมชั่นใหม่ๆ เพราะ Social Media มีความง่ายในการทำขึ้นอัพเดทข้อมูล และกิจกรรมของทางแบรนด์มากกว่าช่องทางอื่นๆ เช่น Website ป้ายหน้าสาขา
- Product Catalog: การใช้ Social Media เป็น Product Catalog เพื่อให้คนสามารถดูสินค้าและบริการของเราได้
- Build Brand: สร้างแบรนด์ การให้เข้าใจว่าแบรนด์ของเราส่งมอบ Value หรือคุณค่าอะไร แบรนด์เราเชื่อเรื่องอะไร แบรนด์เราแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร แบรนด์เรามีจุดมุ่งหมายในการช่วยลูกค้าอย่างไร ให้ชีวิตเค้าดี หรือแบรนด์เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้า เพื่อสร้างความแตกต่าง และความน่าเชื่ออถือของแบรนด์ และสินค้า บริการของเรา
- Drive Sales: สร้างยอดขาย การทำวัตถุประสงค์นี้ คือการนำเสนอ สินค้า หรือ บริการของเราว่า ทำไมผู้ใช้ต้องซื้อสินค้าเรา สินค้าของเรามีคุณสมบัติอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ควรซื้อในโอกาสไหน รวมถึงเป็นหน้าร้านที่จะให้ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้า หรือบริการได้ รวมถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และโปรโมชั่นด้วยก็ได้
- Educate & Help Customer: เป็นการใช้ Social Media เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจกับกลุ่มลูกค้า วิธีการใช้สินค้าและบริการ รวมถึงการช่วย Customer Support เมื่อลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ หรือมีปัญหา
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการทำโซเชียลมีเดียในทางนี้ จะมีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า และบริการ ในเชิงธุรกิจ มากกว่าการสร้างฐานแฟนและผู้ติดตาม Content

ในคลาส TURN PRO Digital Marketing จะมีการอัพเดท และสอนเรื่องนี้ด้วยค่ะ เนื่องจากออยเชื่อว่า Social Platform ได้เปลี่ยนไปแล้วดังนั้น แบรนด์ต้องเปลี่นวิธีคิด กลยุทธ์ และการวางแผนทำโซเชียลมีเดีย ให้สอดคล้องกับ Platform ที่เปลี่ยนไป เพื่อให้แบรนด์มีแผนงานการทำ Social Media ให้ตอบโจทย์ธุรกิจค่ะ
สำหรับคนที่สนใจคลาส Business Strategy หรือ เสริมทักษะ Digital Marketing
วางแผนได้ ตรวจงานได้ สั่งงานได้ คุยกับเค้ารู้เรื่อง
ลองคลิกดูรายละเอียดด้านล่าง ได้ทั้ง 2 หลักสูตรค่ะ




Leave a comment